ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า “ระบบเบรก” ที่ดี ย่อมหมายถึงความปลอดภัยของทุกชีวิตบนท้องถนน แต่ในทางกลับกันเวลาผู้ใช้รถจักรยานยนต์นำรถเข้าศูนย์หรือตรวจเช็ครถตามระยะ เราก็มักตรวจสอบกันแต่เพียง เครื่องยนต์ เกียร์ ระบบส่งกำลัง และล้อ โดยมองข้ามระบบเบรกไปซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามักไม่ใส่ใจในการเลือกน้ำมันเบรกที่ใช้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่อย่างปลอดภัย

     น้ำมันเบรก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง เมื่อเราบีบหรือเหยียบเบรก แรงดันที่บีบหรือเหยียบนั้นจะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำมันเบรกเข้าไปในระบบห้ามล้อ ทำให้ความเร็วของรถช้าลงหรือหยุดตามแรงกดที่ต้องการ ซึ่งน้ำมันเบรกที่ดี นอกจากจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลังแล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ อีกด้วย

* เป็นตัวหล่อลื่นส่วนต่างๆ ในระบบเบรก เช่น แม่ปั๊มเบรกและลูกสูบปั๊มเบรก เนื่องจากต้องมีการเสียดสีของลูกสูบเบรก ลูกยางเบรกภายในแม่ปั๊มเบรก ลูกสูบปั๊มเบรก นับครั้งไม่ถ้วน ถ้าปราศจากการหล่อลื่นก็จะทำให้เกิดการสึกหรอ เกิดการรั่วภายหลังได้
* มีความหนืดที่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่าสามารถใช้ได้ในอุณหภูมิต่างๆ ไม่ว่าร้อนหรือเย็น มีความหนืดที่ยืดหยุ่นได้ ไม่ข้นเกินไปแม้ว่าจะใช้ในอุณหภูมิติดลบ
* ไม่เป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนที่เป็นโลหะในระบบหรือลูกยางต่างๆ เนื่องจากระบบเบรกเป็นระบบความปลอดภัยที่สำคัญ ถ้าการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ ในส่วนของไฮดรอลิกบกพร่องจะเกิดอันตรายอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสนิมในระบบสร้างแรงดัน หรือลูกยางเสื่อมสภาพ
* มีจุดเดือดสูงและไม่ระเหยได้ง่าย คุณสมบัตินี้ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่เป็นตัวบอกว่าน้ำมันเบรกยังคงมีสภาพใช้ งานได้อยู่หรือไม่ จุดเดือดสูงก็จะเสื่อมสภาพได้ยากกว่าและทนต่อแรงดันจากการที่เหยียบแรงๆ ต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
* คงสภาพได้นาน หมายถึงรักษาคุณสมบัติต่างๆ ได้นาน ไม่ว่าจะมีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เช่น เรื่องของความชื้นหรือเกิดจากการใช้งานปกติ

     สำหรับมาตรฐานด้านความปลอดภัยได้กำหนดชื่อมาตรฐานสำหรับน้ำมันเบรกคือ “DOT” (Department of Transportation) ที่เรียกจนติดปาก โดยกำหนดจุดเดือดของน้ำมันเบรก DOT3 ไม่ต่ำกว่า 205 องศาเซลเซียส DOT4 ไม่ต่ำกว่า 230 องศาเซลเซียส DOT5 260 องศาเซลเซียส ซึ่งค่าที่กำหนดนี้มีสำคัญอย่างไร...
     จากคุณสมบัติของน้ำมันเบรกจะเห็นได้ว่าจุดเดือดของน้ำมันเบรกเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเวลาเราใช้เบรกที่ความเร็วสูงหรือเวลาบรรทุกของหนัก อุณหภูมิที่ผ้าเบรกและจานเบรกจะสูงมาก ความร้อนดังกล่าวจะถ่ายเทมายังน้ำมันเบรกด้วย ฉะนั้นถ้าน้ำมันเบรกมีจุดเดือดต่ำจะสามารถระเหยและกลายเป็นไอได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางถ่ายทอดกำลัง หรือทำหน้าที่ไฮดรอลิกในระบบเบรกได้ จะทำให้เกิดเบรกไม่อยู่ เบรกจม หรือเรียกว่าเบรกแตกนั่นเอง
     ดังนั้นการที่ต้องทำให้น้ำมันเบรกมีจุดเดือดสูงนั้น เนื่องจากว่าสารเคมีในน้ำมันเบรกมีคุณสมบัติดูดซับความชื้น ยิ่งในเขตที่มีความชื้นสูงอย่างประเทศไทย ความชื้นยิ่งมีโอกาสแทรกไปปนอยู่ในน้ำมันเบรกได้ง่ายขึ้น โดยจะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดลงตามลำดับ ดังนั้นคุณสมบัติของน้ำมันเบรกจึงควรมีจุดเดือดสูงไว้ตั้งแต่แรก
     การเลือกเกรดน้ำมันเบรกปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อตามแต่จะเลือกใช้ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกใช้ยี่ห้อเดิม หรือตามที่ศูนย์บริการเปลี่ยนให้ โดยส่วนใหญ่จะใช้ DOT4 สามารถดูได้ข้างกระป๋องว่าที่เราใช้อยู่นั้นเป็นเกรด หรือ DOT อะไร การเลือกใช้น้ำมันเบรกที่มี DOT สูงกว่าไม่เป็นการผิดแต่อย่างใด การเปลี่ยนยี่ห้อน้ำมันจากที่เราเคยใช้อยู่นั้นควรถ่ายของเดิมทิ้งให้หมด แล้วเลือกเติมตามที่เราต้องการ แต่ควรเป็น DOT ที่เท่ากัน หรือสูงกว่าเท่านั้น ดังนั้นผู้ใช้รถควรหมั่นตรวจสอบและเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกตามระยะที่กำหนด โดยเฉพาะผู้ที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง ผู้ที่บรรทุกหนัก หรือวิ่งทางลาดชันบ่อยๆ และใช้งานเบรกหนักต่อเนื่องบ่อย ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุกๆ 1 ปี ถ้าไม่แน่ใจก็ให้สอบถามตามศูนย์บริการมาตรฐานทั่วไป โดยระยะเวลาหรือระยะทางของแต่ละบริษัทอาจแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็เป็นพื้นฐานใกล้เคียงกัน ดังนั้นอยากให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ตระหนักถึงเรื่องน้ำมันเบรกด้วย เพราะถ้าระบบเบรกมีปัญหาในช่วงขับขันจะเกิดอันตรายทั้งร่างกายและทรัพย์สินของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร รวมถึงผู้ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันอีกด้วย