2022 HONDA CBR1000RR-R Fireblade SP 30th Anniversary
รหัสซิ่งสายซ่า…ที่สุดแห่งยนตกรรมสายพันธุ์สปอร์ต

(>) ถ้าคุณเป็นคนที่ชื่นชอบรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตและมีใจรักในกีฬาความเร็ว เชื่อว่าหลายๆ คงนึกถึงรถแข่งที่วิ่งผ่านทางตรงมาด้วยความเร็วที่ทะลุเกินกว่า 300 กม/ชม และอาจจะมองไม่ทัน ซึ่งในปัจจุบันรถที่ทำความเร็วได้แบบนี้คงหนีไม่พ้นจากรถแข่งบนสังเวียน Moto GP และ WSBK โดยรถแข่งของแต่ละค่ายจะเน้นความแรง สมรรถนะที่ยอดเยี่ยม พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย แต่ถ้าหากเป็นรถแบบ Production Bike ที่มีความแรงแบบนี้มันจะมีรถซักกี่คันที่สร้างขึ้นมาเพื่อขายและสามารถนำไปลงแข่งขันได้เลย

(>) มาที่ค่ายรถจักรยานยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งแดนอาทิตย์อุทัยอย่างฮอนด้า ที่คร่ำวอดการผลิตรถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ปี 1949 และต่อมาในปี 1964 ฮอนด้าก็กลายเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก และพัฒนารถจักรยานยนต์สายพันธุ์ต่างๆ เพื่อให้ครอบคลุมกับผู้ใช้งานมากที่สุด ซึ่งในยุคปัจจุบันวิวัฒนาการของรถจักรยานยนต์ฮอนด้ามีความก้าวล้ำไปมาก ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถออกแบบตัวรถโมเดลต่างๆ ให้มีความโดดเด่นและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่นเดียวกับรถตระกูล CBR สปอร์ตไบค์เรือธงที่มีประวัติอันยาวนาน และในครั้งนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ HONDA CBR1000RR-R Fireblade SP 30th Anniversary รุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นมาในจำนวนที่จำกัด

(>) เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาค่ายฮอนด้าได้เปิดตัว All New HONDA CBR1000RR-R Fireblade และ All New HONDA CBR1000RR-R Fireblade SP ภายใต้คอนเซ็ปต์ BORN TO RACE หรือ “เกิดมาเพื่อการแข่งขัน” มาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่กะทัดรัด โฉบเฉี่ยว ดุดัน ซึ่งได้รับการอัพเกรดสมรรถนะให้สูงขึ้นกว่าเดิม เพื่อให้การขับขี่มีความสนุกมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากตัวแข่งรายการ MotoGP อย่าง RC213V และในปี 2022 ทางค่ายก็ได้เสริมทัพอีกหนึ่งรุ่นนั้นก็คือ “HONDA CBR1000RR-R Fireblade SP 30th Anniversary” โมเดลพิเศษเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปี ต้นกำเนิดของ CBR900RR Fireblade นับตั้งแต่ปี 1992 – 2022 ที่โดดเด่นด้วยสีสันแบบไตรคัลเลอร์ และลายกราฟิกของ CBR900RR Fireblade ในแบบ Original ซึ่งชุดแฟริ่งที่เราเห็นนั้นเป็นผลงานของ Mr. Hiroaki Tsukui ชายผู้อยู่เบื้องหลังความสวยงามของ Fireblade รุ่นดั้งเดิมในปี 1992 โดยฉายาของ Fireblade ถูกใช้ไปในความหมายของการควบคุมที่สมบูรณ์แบบ การทรงตัวที่ยอดเยี่ยม และความสนุกสนานในการขับขี่ทั้งในสนามและนอกสนามในแบบฉบับ Born to Race ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังทำให้รถรุ่นนี้ก้าวขึ้นมาอีกเป็นรถซูเปอร์ไบค์แถวหน้าของโลกด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ จาก HRC หรือ Honda Racing Corporation

(>) แม้ว่าส่วนหลักๆ ของ HONDA CBR1000RR-R SP 30th Anniversary จะยังคงเหมือนเดิม แต่ซูเปอร์ไบค์เรือธงจากค่ายปีกนกรุ่นนี้ยังคงได้รับการปรับปรุงในหลายๆ ส่วน ไม่ว่าจะเป็นระบบคันเร่งไฟฟ้า Throttle By Wire (TBW) ที่มีการปรับโหลดของสปริงให้น้อยลง เพื่อให้คันเร่งนั้นเนียนขึ้นและตอบสนองได้ดีขึ้นเวลาเปิดคันเร่ง ซึ่งการปรับปรุงในครั้งนี้เป็น Feed back หรือ เสียงสะท้อนจากทางนักแข่งจากทีมแข่ง HRC ที่ลงแข่งในรายการ WorldSBK รวมไปถึงนักแข่งที่ใช้ HONDA CBR1000RR-R SP ลงทำการแข่งขันรายการต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก , ตัวแอร์บ็อกซ์และกรวยไอดีได้ปรับทรงใหม่ให้อากาศไหลได้คล่องตัวมากขึ้น พอร์ตไอดีเองก็ถูกปรับเพื่อให้เพิ่มความเร็วในการไหลของอากาศ , ปรับปรุงระบบแทร็คชันคอนโทรล หรือ Honda Selectable Torque Control (HSTC) ให้ดียิ่งขึ้น , ช่องพอร์ตไอดีได้รับการแก้ไขให้แคบลงบางส่วนเพื่อเพิ่มความเร็วของกระแสลม , สเตอร์หลังเพิ่มขึ้น 3 ฟัน เป็น 43 ฟัน , ปรับปรุงสมรรถนะของระบบ Quick Shifter เพื่อให้เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ้นและนุ่มนวลขึ้น , ปรับอัตราแรงบิดให้ลดลงจากเดิม 113 นิวตันเมตร เหลือ 112 นิวตันเมตรที่ 12,500 รอบ เพื่อให้มีแรงบิดใช้งานในย่านกลางมากขึ้น เช่นเดียวกับระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ยังคงใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และท่อไอเสีย Akrapovic Titanium แบบ 4-2-1 ที่ออกแบบใหม่ในส่วนตรงกลาง ดีไซน์ใหม่ น้ำหนักเบา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงในการระบายไอเสีย พร้อมโลโก้ 30th Anniversary และตรงแผงคอจะมี Serial No. ตัวเลขระบุหมายเลขการผลิต
.jpg)
(>) การออกแบบภายนอกระบบแอโรไดนามิคจึงเป็นสิ่งเป็นสำคัญสำหรับทีมงาน R&D ที่จะต้องวิเคราะห์แรงลมปะทะ และการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งตรงบริเวณกลางระหว่างไฟหน้าจะเป็นช่องแรมแอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งเทียบเท่ากับตัวแข่ง RC213V เพื่อรับอากาศเข้าไปสู่แอร์บ็อกซ์ก่อนเข้าสู่เครื่องยนต์และขยายกรองอากาศใหม่เพื่อให้อากาศไหลเวียนได้ดีกว่าเดิมถึง 25 % ชุดแฟริ่งเน้นการระบายอากาศได้รวดเร็ว ส่วนไฮไลท์สำคัญในการออกแบบก็คือปีกด้านข้างหรือ “Winglets” ที่ถ่ายทอดจากรถแข่ง MotoGP ที่จะเข้ามาช่วยเพิ่ม Aerodynamic และสร้าง Downforce หรือการสร้างแรงกด เพื่อทำหน้าที่ป้องกันช่วงหน้าลอยตัวขึ้นในช่วงความเร็วสูง รูปลักษณ์ภายนอกที่ยังคงกลิ่นอายของความเป็น CBR เอาไว้เช่นเดิม ระบบไฟหน้าคู่แบบ LED ตัว Windscreen ที่มีการปรับองศาจาก 45 องศา เป็น 35 องศา ช่วยลดแรงปะทะจากลมในทุกท่วงท่าของการขับขี่ หน้าจอเรือนไมล์แสดงผลแบบ TFT (Thin Film Transistor) ขนาด 5 นิ้ว Full-Colour Display ที่สามารถปรับรูปแบบจอแสดงผลได้ถึง 5 แบบ (Digital, Analog, No Rev, Bar, Practice) 3 แบบ โดยใช้ปุ่มแฮนด์ทางฝั่งซ้ายรวมไปถึงฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย

(>) ตัวถังน้ำมันออกแบบให้มีความกระชับในขณะขับขี่ เบาะนั่งเป็นแบบแยกชิ้นหุ้มด้วยหนังสีดำ เบาะด้านท้ายจะเป็นสีน้ำเงินตามแบบฉบับดั่งเดิมของ CBR900RR Fireblade ในปี 1992 ติดตั้งกัดสะบัดแบบไฟฟ้าบริเวณแผงคอล่าง ไฟท้ายและไฟเลี้ยวเป็นแบบ LED บังโคลนหน้าออกแบบมาช่วยเรื่องแอโร่ไดนามิคด้วยเหมือนกัน ซึ่งสามารถช่วยลดแรงต้านอากาศได้ 0.270 อีกหนึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือจะมีไม่มีช่องเสียบกุญแจ โดยจะเป็นระบบกุญแจอัจฉริยะ Honda Smart Key สตาร์ทเครื่องยนต์โดยไม่ต้องใช้กุญแจ ซึ่งวิศวกรชาวญี่ปุ่น ยูซูรุ อิชิกาว่า หัวหน้าทีมวิจัยและพัฒนา หรือ Large Project Leader ผู้ดูแลโปรเจกต์ HONDA CBR1000RR- R SP ให้คำตอบเกี่ยวกับระบบกุญแจว่า “เหตุผลนอกเหนือจากเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ขับขี่แล้ว เราต้องการตัดพื้นที่ช่องเสียบกุญแจออกไป สืบเนื่องมาจาก การย้ายแรมแอร์มาอยู่ตรงกลางตามแบบฉบับรถแข่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดเหมือนกับที่ใช้ในตัวแข่ง RC213V ถ้ายังมีช่องเสียบกุญแจอยู่ มันจะขวางทางช่องแรมแอร์” ซึ่งทางค่ายได้ย้ายปุ่มกดสตาร์ทจากด้านบนไปอยู่ซ้ายมือใต้แผงหน้าปัดเรือนไมล์
.jpg)
(>) ชุดเฟรมหลักของรุ่นนี้มาในสไตล์ Diamond สร้างด้วยวัสดุ Aluminium หนา 2 มม ที่ปรับความสมดุลและความแข็งแรงของเฟรมในแนวตั้งและแรงบิดเพิ่มขึ้น 18% และ 9% ส่วนความแข็งแรงของเฟรมแนวนอนลดลง 11% ซับเฟรมด้านท้ายใช้วัสดุอะลูมิเนียมที่เน้นน้ำหนักเบา ในขณะที่ค่า CG สูงช่วยเพิ่มความคล่องตัว และกระจายน้ำหนักตั้งไว้ที่ 53% / 47% จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง รวมถึงสวิงอาร์มหลังแบบใหม่ที่สร้างจากอะลูมิเนียมหนา 18 ชิ้น ยาวขึ้นกว่าเดิม 30.5 มม แต่มีน้ำหนักเท่ากับรุ่นก่อนหน้านี้ ความแข็งแนวนอนของสวิงอาร์มลดลง 15% พร้อมกับเพิ่มความแข็งแกร่งในแนวดิ่งเพื่อรักษาความรู้สึกและการยึดเกาะให้ดีขึ้น ดีไซน์แบบเดียวกับใน RC213V-S มิติของตัวรถจะมีความยาว 2,100 มม กว้าง 745 มม ยาว 1,440 มม เบาะนั่งสูง 830 มม ปรับระยะห่างของฐานล้อจากเดิม 1,455 มม เป็น 1,460 มม (เนื่องจากการเพิ่มสเตอร์หลัง) ความสูงจากพื้นถึงตัวรถ 115 มมน้ำหนักรถ 201 กิโลกรัม ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 16 ลิตร

(>) หัวใจสำคัญของรถจักรยานยนต์นั้นก็คือระบบเครื่องยนต์ ซึ่ง CBR1000RR-R Fireblade SP 30th Anniversary ได้รับการอัพเกรดระบบภายใหม่หลายจุด โดยใช้เทคโนโลยีแบบเดียวกับรถแข่ง MotoGP และรถ Production Bikeในรุ่น RC213V-S ที่โดดเด่นในเรื่องของการเผาไหม้ที่มีประสิทธิภาพสูง และมีค่าแรงเสียดทานในระบบที่ต่ำ ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ใช้ก้านสูบแบบไทเทเนียม, แหวนลูกสูบไทเทเนียม และลูกสูบอะลูมิเนียมฟอร์จที่เบากว่าเดิม 5% พร้อมด้วยเทคโนโลยี Piston-Jet, แคมชาร์ฟแต่งองศาสูง HRC, การเคลือบสาร Diamond Like Carbon (DLC) ที่ช่วยลดความร้อนจากแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์, วาล์วไอดีมีขนาด 32.5 มม และวาล์วไอเสียมีขนาด 28.5 มม อีกทั้งยังให้พละกำลังของเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นถึง 13 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ตัวเครื่องยนต์ยังออกแบบให้มีการระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น โดยตัวกระบอกสูบจะมีบายพาสด้านล่างหมุนเวียนน้ำหล่อเย็นจากหม้อน้ำไปยังเสื้อสูบเพื่อลดปัญหาการสะสมความร้อนภายใน พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนใหม่แบบ Built-in bottom bypass cooling

(>) ตัวเครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบ Inline - 4 หรือ 4 สูบเรียง 4 จังหวะ 16 วาล์ว DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ปริมาตรของเครื่องยนต์ 999.9 ซีซี. กระบอกสูบ x ช่วงชัก = 81มม. x 48.5 มม (รุ่นก่อนหน้านี้ =76 x 55.1 มม) ปรับอัตราส่วนกำลังจาก 13.0 : 1 เป็น 13.4 : 1 จ่ายน้ำมันด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ PGM-DSFI เรือนลิ้นเร่งขนาด 52 มม ให้พละกำลังสูงสุด 214 แรงม้า ที่ 14,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 112 นิวตันเมตร ที่ 12,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์ 6 สปีด ระบบคลัทช์แบบเปียกสั่งงานด้วยสายสลิง พร้อมด้วยระบบ Quick Shifter Assist Up & Down Shift ระบบเปลี่ยนเกียร์ได้ทั้งขึ้น-ลง โดยไม่ต้องกำคลัทช์ สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยชุดโซ่สเตอร์ ท่อไอเสียแบบ 4-2-1 แบบไทเทเนียมพัฒนาร่วมกับ Akrapovic ให้สอดคล้องกับวาล์วไอเสียที่ช่วยเพิ่มพละกำลังในรอบต่ำและรอบสูง อีกทั้งยังผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro5 เป็นที่เรียบร้อย

(>) อีกหนึ่งจุดเด่นของค่ายนี้ก็คือการรวมเอาเทคโนโลยีต่างๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่มาใส่ไว้ในรถสปอร์ตคันนี้แบบเต็มพิกัดไม่ว่าจะเป็นระบบ Inertial Measurement Unit (IMU) เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว 6 แกน (รุ่นเก่ามี 5 แกน)ที่คอยเก็บข้อมูลการขับขี่ส่งผ่านไปยังกล่องข้อมูล ECU เพื่อประมวลผลไปยังระบบอิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ ของตัวรถเพื่อควบคุมเสถียรภาพของการขับขี่ให้มั่นคงและปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ระบบ Honda Selectable Torque Control (HSTC) ระบบควบคุมอัตราแรงบิดของเครื่องยนต์และการส่งแรงขับเคลื่อนไปยังล้อหลังเพื่อปรับรูปแบบการขับขี่ ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่สามารถปรับได้ 9 ระดับ, ระบบ Engine Brake (EB) ระบบควบคุมการเบรคจากเครื่องยนต์ที่ปรับได้ 3 ระดับ, ระบบ Power Mode (P) ระบบตั้งค่าของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับแรงบิดของคันเร่งปรับได้ 5 ระดับ, ระบบ Wheelie Control ระบบป้องกันล้อหน้ายก ปรับได้ 3 ระดับ, ระบบ Launch Control (LC) ระบบล็อครอบเครื่องช่วงออกตัวแบบรถแข่ง, ระบบ Cornering ABS เซนเซอร์ตรวจวัดองศาการเอียงของรถในขณะเข้าโค้ง เพื่อควบคุมและกำหนดแรงดันน้ำมันเบรคให้เหมาะสมทั้งล้อหน้า-ล้อหลัง, ระบบ Rear-lift control ระบบช่วยป้องกันล้อหลังยก, คันเร่งไฟฟ้าแบบ Ride By Wire, เพิ่มลูกเล่นด้วยระบบองศาการเอียงของตัวรถ, โหมดการขับขี่ 3 โหมด Track , Sport และ Comfort, ระบบ Honda Electronic Steering Damper (HESD) กันสะบัดไฟฟ้าของ SHOWA ที่ได้รับการออกแบบให้มีการก้านสูบมีน้ำหนักที่เบา ควบคุมการทำงานไปยังระบบเซ็นเซอร์ความเร็วล้อและระบบ IMU และสามารถปรับได้ 3 ระดับ

(>) นอกจากนี้ ระบบ Riding Mode ยังมาพร้อมกับระบบ Start Control Mode โหมดเริ่มต้นสำหรับการแข่งขัน โดยจำกัดรอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 6,000, 7,000, 8,000 และ 9,000 รอบต่อนาที ซึ่งจะเป็นการควบคุมรอบเครื่องให้อยู่ในระดับที่คงที่ ถึงแม้จะมีการบิดคันเร่งแบบเต็มแรง ช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการควบคุมคลัทช์ได้อย่างเต็มที่ พร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการทำงานของ Power Selector (P), HSTC (T), Engine Brake (EB), Wheelie Control (W) เพื่อรองรับการขับขี่ได้หลายรูปแบบ ได้ตามความต้องการ และพิเศษสำหรับรุ่นนี้มีระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าของ ?HLINS แบบ Smart Electronic Control (S -EC) ซึ่งเป็นเจนเนอเรชั่นที่สอง
.jpg)
(>) ระบบช่วงล่างของรถซูเปอร์สปอร์ตในทุกวันนี้มีการพัฒนาไปอย่างมาก โดยแต่ละค่ายจะปรับปรุงทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพในการใช้งาน ซึ่งรถสไตล์นี้เน้นการซับแรงกระแทกและการคืนตัวที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการคุมรถบนความเร็วย่านสูงๆ การพลิกสลับกับการเลี้ยวรถอย่างฉับไว ซึ่งช็อคอับ CBR1000RR-R SP 30th Anniversary ด้านหน้าเป็นช็อคอับแบบ Upside Down ของสำนัก ?HLINS รุ่น NPX Smart-EC แบบปรับไฟฟ้า หรือ Smart Electronic Control (S -EC) มีขนาด 43มม ผิวแกนเป็นสีทองแบบเดียวกับตัวแข่งระดับ Moto GP โดยจะเรียกย่อๆ ว่า TiN หรือ Titanium Nitride “ไททาเนี่ยม ไนไตรด์” มีระยะการทำงาน 125 มม สามารถปรับค่าได้ทั้ง Spring Preload, Compression and Rebound Damping ส่วนด้านหลังเป็นช็อคอับแบบไฟฟ้าเช่นกันของ ?HLINS รุ่น TTX36 Smart-EC มีระยะการทำงาน 143 มม สามารถปรับตั้งค่าได้ทั้ง Spring Preload, Compression and Rebound Damping เช่นเดียวกับด้านหน้า
.jpg)
(>) ระบบเบรคด้านหน้าเป็นจานเบรคแบบคู่มีขนาด 330 มม มีความหนา 5 มม ช่วยกระจายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาลิเปอร์เบรค BREMBO รุ่น Stylema แบบ Radial Mount ขนาด 4 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นจานเบรคเดี่ยวแบบตายตัวขนาด 220 มม คาลิเปอร์เบรค BREMBO 2 ลูกสูบ เป็นแบบเดียวที่ใช้กับ RC213V-S พร้อมกับระบบ ABS 2 Channel ทั้งด้านหน้าและหลัง โดยระบบ ABS ทำงานร่วมกับระบบ HSTC โดยจะควบคุมการทำงานของล้อหลังโดยเฉพาะ สามารถเลือกปรับได้ 2 แบบ คือแบบขับขี่ทั่วไป (Sport) หรือแบบขับขี่ในสนามแข่ง (Track) ชุดวงล้อหน้า / หลังเป็นล้ออัลลอยขนาด 5 ก้านแยกเป็นตัว Y ด้านหน้าขนาด 3.50 x 17 นิ้ว ยางหน้า 120 / 70 ZR 17 นิ้ว ล้อหลัง 6.50 x 17 นิ้ว ยางหลัง 200 /55 ZR 17 นิ้ว รัดด้วยยาง Pirelli Diablo Supercorsa SP นอกจากนี้ทางค่ายยังมีอุปกรณ์เสริมของแท้ของฮอนด้าที่มีให้เลือกมากมายอาทิเช่น ฝาครอบแอร์บ็อกซ์คาร์บอน , แฟริ่งครอบเครื่องชิ้นล่างแบบคาร์บอน , บังโคลนหน้าคาร์บอน , บังโคลนหลังคาร์บอน , ครอบเบาะหลังสีตนงกับตัวรถ , ฝาครอบเฟรม , ฝาครอบสเตอร์หลัง , Windscreen หน้าทรงสูง (smoked and clear) , แผ่นรองถัง , เบาะอาคันทาร่า , ฝาเติมน้ำมันเครื่อง HRC , สติ๊กเกอร์ติดล้อ , ปลั๊กไฟ USB , กระเป๋าติดถังน้ำมัน 7 ลิตร , กระเป๋าที่นั่งด้านหลังแบบขยายได้ 15-22L และผ้าคลุมรถทั้งภายในและภายนอก

(>) ถ้าจะบอกว่าค่ายรถฮอนด้าคือค่ายรถที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็คงจะไม่ผิดแปลกอะไร เพราะถือว่าเป็นค่ายรถที่อยู่คู่กับคนใช้รถมาอย่างยาวนาน และเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษ ที่ทางค่ายได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีสุดล้ำจากรุ่นสู่รุ่น จากสนามแข่งสู่ท้องถนน สานต่อมายัง HONDA CBR1000RR – R Fireblade SP 30th Anniversary สุดยอดรถซุปเปอร์สปอร์ตพันธุ์แกร่งที่พร้อมจะทะยานไปกับคุณทุกเส้นทาง อีกทั้งมันยังเป็นรถที่ก้าวข้ามขีดจำกัดจากอดีตมาสู่ยุคใหม่ได้อย่างภาคภูมิใจ

(>) สำหรับสาวกตัวยงของค่ายนี้เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการรอคอยเป็นอย่างยิ่ง “มาแบบครบและจบในคันเดียว” ด้วยเทคโนโลยีในระดับเดียวกับที่ใช้บนรถแข่ง MotoGP อย่าง RC213V และรถ Production Bike ในรุ่น RC213V - S พร้อมความ Limited Eidition ในแบบที่ไม่ได้มีมาบ่อยๆ กับการผลิตขึ้นมาในจำนวนที่จำกัด
