BMW M 1000 RR 50 Years M
หล่อกระชากใจ สปอร์ตไบค์จอมพลังรุ่นพิเศษ

หลังจากที่เว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ บนโลกโซเชียลออกมาตีข่าวเกี่ยวกับโมเดลใหม่ล่าสุดของค่ายตราใบพัดสีน้ำเงินอย่าง BMW แบรนด์รถหรูจากเยอรมันที่ได้เผยโฉมโมเดลพิเศษออกมายั่วน้ำลายสาวกสายหมอบให้ได้ตื่นเต้น
กันอีกครั้ง กับสุดยอดรถสปอร์ตไบค์อย่าง BMW S1000RR 50 Years M ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมล่าสุดแบบจัดเต็ม

BMW M 1000 RR 50 Years M มันคือสปอร์ตไบค์รุ่นพิเศษที่ผลิตออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ที่ถูกถ่ายทอดมาตรฐานจาก “M Performance” ของแผนก M แผนกที่ดูแลผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูงจากทางค่าย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากรถยนต์สมรรถนะสูงของ BMW ตระกูล M Series หลากหลายรุ่น รวมไปถึงการนำชิ้นส่วนจากตัวแข่งในสนามมาพัฒนาเพื่อใช้งานกับรถเชิงพาณิชย์ และเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมานั้น แผนก M ก็ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบใหม่ที่เป็นชิ้นส่วนรถมอเตอร์ไซค์เป็นครั้งแรกโดยได้นำเอาชิ้นส่วนต่างๆของรุ่น S1000RR มาทำการปรับปรุงแก้ไข รวมทั้งการปรับจูนเครื่องยนต์ที่แตกต่างไปจากเดิม ซึ่งจะเป็นรูปแบบเดียวกับที่ใช้งานในสนามแข่งรายการ WorldSBK ของทางค่าย

ความน่าสนใจของ BMW M 1000 RR 50 Years M ก็คือสีพิเศษ Sao Paulo Yellow และตราสัญลักษณ์ของ BMW แบบใหม่ที่แตกต่างออกไปจากเดิม และไม่เพียงแต่สีสันใหม่เท่านั้น ตัวรถยังมาพร้อมกับชิ้นส่วนคาร์บอนแบบจัดเต็ม M Carbon Package ที่บังโคลนหน้าและหลัง, แฟริ่งด้านบน, ฝาครอบถังน้ำมันคาร์บอนไฟเบอร์ทางฝั่งซ้ายและขวา ,การ์ดโซ่แบบคาร์บอนไฟเบอร์ , ฝาครอบสเตอร์หน้า และ M – Winglets นอกจากนี้ยังมี M Billet Pack ซึ่งประกอบด้วยแผ่นป้องกันเครื่องยนต์อลูมิเนียม , ก้านมือเบรก – มือคลัทช์คาร์บอนแบบพับได้ ,  สายเบรก  - สายคลัทช์แบบถัก , ชุดเกียร์โยง M และการ์ดปลายแฮนด์ด้านขวา รวมไปถึงชิ้นส่วนประสิทธิภาพสูงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวิงอาร์มเคลือบอะโนไดซ์ , โซ่ M Endurance ซอฟต์แวร์ทริกเกอร์ตัวจับเวลารอบ M GPS , ชุดเบาะหลังที่สามารถเปลี่ยนเป็นเบาะสำหรับผู้โดยสารหรือ ฝาครอบแบบรถแข่ง , คาลิเปอร์เบรกอะโนไดซ์ สีน้ำเงิน และชุดวงล้อทั้งหน้า/หลัง เป็นล้อ Carbon Fiber ลาย 7 ก้าน

ด้านหน้ามาพร้อมกับโคมไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟ DRL (Daytime running light) ตรงกลางมีช่องแรมแอร์ทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่ระหว่างโคมไฟหน้า ระบบแสดงผลมาตรวัดค่าต่างๆ นั้นเป็นแบบจอสี TFT แบบ  Full-Color Display  ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมโลโก้ M บนหน้าจอ ซึ่งสามารถปรับแสดงผลการขับขี่ได้ 4 รูปแบบ พร้อมซอฟต์แวร์ใหม่และฟังก์ชั่นสำหรับการขับขี่บนถนนและในสนาม โดยผ่านระบบการเชื่อมต่อ OBD  ที่ช่วยเก็บข้อมูลในการขับขี่ที่หลากหลายรูปแบบผ่าน GPS แฮนด์บาร์แบบอลูมิเนียมน้ำหนักเบา ตัวแฮนด์ฝั่งซ้ายมีระบบ Heat Grip ส่วนแฟริ่งด้านข้างเจาะช่องระบายอากาศขนาดใหญ่เข้าสู่เครื่องยนต์ เบาะนั่ง 2 ชั้นแบบสปอร์ต แฟริ่งด้านท้ายเน้นความเพรียวเพิ่มช่องระบายอากาศ ไฟท้ายและไฟเลี้ยวแบบ LED

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ใส่มาแบบเต็มพิกัดไม่ว่าจะเป็นระบบ Inertial Measurement Unit (IMU) เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว  6 แกน ที่คอยเก็บข้อมูลการขับขี่ส่งผ่านไปยังกล่องข้อมูล ECU เพื่อประมวลผลไปยังระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ของตัวรถเพื่อควบคุมเสถียรภาพของการขับขี่ให้มั่นคงและปลอดภัย และเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้นโหมดการขับขี่มาตรฐานเป็น 4 โหมด และ 3 โหมด ใน “Pro Modes” เพื่อการขับขี่ที่ดีที่สุด

ในทุกสภาพการขับขี่ สำหรับโหมดการขับขี่แบบมาตรฐานยังคงมีเหมือนเดิม ได้แก่ Rain, Road, Dynamic และ Race และหากต้องการความเร้าใจในการขับขี่ในสนามแข่ง ในรุ่นนี้ได้เพิ่ม ‘Pro Modes’ ที่มีโหมดการขับขี่แบ่งเป็น 3 โหมด (Race Pro 1-3) ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งโปรแกรมได้อย่างอิสระ ปรับระบบการทำงานของ Dynamic Traction Control (DTC), ABS, ระบบตรวจจับการยกล้อ และระบบเบรก ให้เหมาะสมกับกับการขับขี่ และ Pit Lane Limiter ที่สามารถกำหนดค่าได้ในการออกตัวที่จุดเริ่มต้นของการแข่งขัน และระบบ Quick shift ขึ้นลง โดยไม่ต้องใช้คลัทช์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของ HP Shift Assistant Pro ระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ที่ปรับได้ถึง 15 ระดับ ระบบ Engine Brake (EBR) ที่ปรับได้ 15 ระดับระบบ Cornering ABS (ABS Pro) ที่ช่วยกระจายแรงเบรกทั้งล้อหน้า-ล้อหลัง,  Hill Start Control (HSC) ช่วยออกตัวของรถบนทางลาดชัน ระบบ Dynamic Brake Control(DBC) ตัวช่วยควบคุมเสถียรภาพการเคลื่อนที่ หรือ ระบบควบคุมการทรงตัวขณะขับขี่ ระบบ Dynamic Damping Control (DDC)  พร้อมด้วยระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนอัจฉริยะ BMW Motorrad Connectivity สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก Google และ Apple App Store เชื่อมต่อผ่านบลูธูทไปยังหน้าจอ TFT เพิ่มความสะดวกในการโทรออก – รับสาย อีกทั้งยังเพิ่มฟังก์ชั่นที่น่าสนใจเช่นบันทึก – แสดงสถิติและข้อมูลการขับขี่ทั้งแบบใช้งานทั่วไปและขับขี่ในสนามแบบครบถ้วนสมบูรณ์

ในส่วนของเครื่องยนต์มีขนาดความจุ 998 ซีซี แบบ 4 จังหวะ 2 สูบเรียง DOHC 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดความจุของกระบอกสูบ ลูกสูบ 80 X 49.7 มม อัตรากำลังอัด 13.5:1 จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ขนาดเรือนลิ้นเร่ง 48 มม ให้กำลังสูงสุดถึง 205 แรงม้า ที่ 13,000 รอบ/นาที และให้แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 112 นิวตัน-เมตร ที่ 11,000 รอบ/นาที อัตรากำลังแรงบิดขนาดนี้มันตอบสนองในย่านความเร็วต่ำไปจนถึงปลายได้อย่างสนุกและเร้าใจอย่างแน่นอน ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์แบบ 6 สปีด พร้อม Quickshifter ที่ช่วยการเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัทช์ ชุดคลัทช์เป็นแบบเปียกสั่งงานด้วยสายสลิง ขับเคลื่อนด้วยชุดโซ่และสเตอร์ สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้า นอกจากนี้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-96 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในเวลา 3.1 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 304 กม./ชม.

ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นโช้คอัพแบบหัวกลับ (Up Side Down) จาก MARCOCCHI ขนาด 45 มม   สามารถปรับตั้งค่าได้เต็มระบบ มีระยะการทำงาน 120 มม ส่วนระบบกันสะเทือนด้านหลังเป็นโช้คอัพแบบเดี่ยวพร้อมกระปุกซับแท้งค์ สามารถปรับตั้งค่าได้เต็มระบบเช่นกัน มีระยะการทำงาน 117 มม ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มอลูมิเนียมแบบเดียวกับตัวแข่ง “WSBK” ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะ และที่พิเศษสุดคือวงล้อทั้งหน้า/หลัง เป็นล้อ Carbon Fiber ลาย 7 ก้าน ขนาด 17 นิ้ว แบบเดียวกับรุ่น “HP4 Race” ข้อดีของมันก็คือน้ำหนักเบากว่าล้ออัลลอยทั่วไป ล้อหน้ามีความกว้าง 3.5 นิ้ว ล้อหลังกว้าง 6.5 นิ้ว รัดด้วยยาง Michelin Power Cup 2 ยางหน้ามีขนาด 120/70 ZR17 และยางหลังมี ขนาด 200/55  ZR17 ส่วนระบบเบรกด้านหน้าเป็นจานเบรก BREAMBO แบบคู่ขนาด 320 มม คาลิเปอร์ M ขนาด  4 ลูกสูบพร้อม ABS Pro ด้านหลังเป็นจานเบรกเดี่ยวขนาด 220 มม คาลิเปอร์หลัง BREMBO 1 ลูกสูบพร้อม ABS Pro มิติของตัวรถคือ กว้าง x ยาว x สูง = 848 x 2,073 x 1,196 มม  เบาะนั่งสูง 833 มม ความยาวของตัวรถ 1,458 มม  ความจุถังน้ำมันเชื้อเพลิง 16.5 ลิตร น้ำหนักโดยรวม 192 กิโลกรัม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ารุ่นก่อนถึง 5 กิโลกรัม