2022 DUCATI Panigale V4 SP2
ขีดสุดความแรงระดับโลก
ถ้าคุณมีใจรักในความเร็วและชื่นชอบมอเตอร์ไซค์แบบสปอร์ต เชื่อว่าหลายคนๆ คงนึกถึงรถจากค่ายดูคาติมาเป็นอันดับต้นๆ สาเหตุหลักๆ เลยก็คือรถค่ายนี้ในแต่ละรุ่นจะเน้นความความแรง และสมรรถนะในด้านต่างๆ ที่ยอดเยี่ยม พร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยจากสนามแข่งทั้ง MotoGP และ WSBK รวมไปถึงความพิเศษและเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกกันออกไป เช่นเดียวกับโมเดลล่าสุด “Panigale V4 SP2”
DUCATI Panigale V4 SP2 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสายซิ่งอย่างแท้จริง มันเหมาะสำหรับใช้ขับขี่ในสนามมากกว่าใช้งานบนท้องถนน ซึ่งรหัส SP ย่อมาจาก Sport Production ด้วยระบบและอุปกรณ์ต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้กับการขับขี่ในสนามนั้นเอง จุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือสีสันบนตัวรถที่เป็นสีดำด้านตัดลายด้วยแถบสีแดง และถังน้ำมันแบบเปลือยที่เผยให้เห็นสีของอลูมิเนียมแบบขัดที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถทดสอบในช่วงฤดูหนาว หรือ “Winter Test” ของทีมโรงงานดูคาติจากเวทีการแข่งขันระดับโลกอย่าง MotoGP และ WorldSBK นอกจากนี้ยังเสริมความโดดเด่นด้วยระบบคลัทช์แบบแห้งที่เป็นเอกลักษณ์ของดูคาติมาช้านาน รวมไปถึงชุดโซ่ขนาด 520 ที่เบากว่าเดิมถึง 400 กรัม พักเท้าแบบปรับได้ของ Rizoma ที่ปิดรูยึดกระจกมองข้าง ที่ติดแผ่นป้ายทะเบียนแบบถอดได้ ฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงอลูมิเนียม เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Alcantara พร้อมโลโก้ V4SP2 ชุดปั้มเบรกด้านบน Brembo MCS 19.21แบบเดียวกับรุ่น Superleggera V4
อีกหนึ่งความน่าสนใจของ Panigale V4 SP2 ก็คือการเพิ่ม "ปีกข้างคาร์บอนไฟเบอร์" (Winglet ) แบบเดียวกับรุ่น V4R ที่ช่วยสร้างแรงกดอากาศหรือ Downforce เพิ่มขึ้นอีก 30 กิโลกรัม เมื่อทำความเร็ว 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช่วยให้ประสิทธิภาพของแอโร่ไดนามิคที่ดีกว่าเดิม เพื่อป้องกันอาการล้อหน้าลอย และทำให้ล้อหน้ายึดเกาะถนนได้ดีขึ้น ชุดวงล้อแบบคาร์บอนไฟเบอร์รูปแบบเดียวกับ V4R ที่มีน้ำหนักที่เบากว่าวงล้อที่ติดตั้งในรุ่นปกติถึง 3.4 กิโลกรัม แต่ด้วยอุปกรณ์หลายๆ ส่วนที่ติดตั้งเพิ่มเข้ามา ทำให้ตัวรถนั้นมีน้ำหนักโดยรวมน้อยกว่า Panigale V4S ไปเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น โดยที่น้ำหนักตัวของ Panigale V4 SP2 นั้นจะอยู่ที่ 173 กิโลกรัม ส่วนด้านหน้ายังคงโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ LED และมีไฟ Daytime Running Lights (DRL) ไฟท้ายแบบ LED เช่นกัน จอแสดงผลเป็นแบบจอแดชบอร์ด TFT (Thin Film Transistor) ขนาด 5 นิ้ว ที่สามารถเลือกโหมดปรับหน้าจอได้ 3 แบบ Auto , Day , Night และเสริมระบบ DDA (Ducati Data Analyser) + GPS โปรแกรมวิเคราะห์และบันทึกข้อมูลการใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับ GPS ในสนามแข่ง
ในส่วนของระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ยังคงความล้ำสมัย ที่พัฒนามาจาก Ducati Desmosedici GP ที่ใช้ในการแข่งขัน MotoGP อย่างเช่นเทคโนโลยี RbW (Ride-by-Wire) คันเร่งไฟฟ้าที่ช่วยให้เดินคันเร่งสมูทมากยิ่งขึ้น ระบบเบรก ABS Cornering Bosch EVO (ควบคุมการทำงานของระบบ ABS ในขณะเข้าโค้ง), Ducati Traction Control EVO 3 (DTC EVO3) ใหม่ล่าสุดที่พัฒนาจากทาง Ducati โดยตรง, Ducati Slide Control (DSC) (ระบบป้องกันรถสไลด์), Ducati Wheelie Control EVO (DWC EVO) (ระบบป้องกันล้อยก), Ducati Power Launch (DPL) (ระบบในการช่วยออกตัวรถให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด), Ducati Quick Shift Up / Down EVO (DQS EVO) (ระบบช่วยในการเปลี่ยนเกียร์โดยไม่ต้องกำคลัทช์ทั้งขึ้นและลง), Engine Brake Control EVO (EBC EVO) (ระบบควบคุมการทำงานของ Engine Brake), Auto Tyre Calibration (ระบบช่วยคาลิเบรกแบบออโต้เวลาเปลี่ยนไซส์ของยาง) ระบบ DDA+ (Ducati Data Analyser +) GPS โปรแกรมวิเคราะห์และบันทึกข้อมูลการใช้งานสามารถเชื่อมต่อกับ GPS ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบ IMU (Inertial Measurement Unit) เซ็นเซอร์ตรวจจับทิศทางการเคลื่อนที่ของรถที่แม่นยำ ส่งผ่านข้อมูลการเคลื่อนที่ทั้ง 6 แกนของตัวรถเพื่อไปประมวลผลที่กล่อง ECU เพื่อช่วยวิเคราะห์ระบบการทำงานต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้ง Riding Modes ที่สามารถเลือกโหมดการใช้งานได้ 3 โหมด Race, Sport, Street สำหรับในโหมด Race จะแบ่งออกเป็นสองโหมด เพื่อการปรับจูนตัวรถที่หลากหลายมากขึ้น โดยจะมีโหมด Race A และ Race B ที่มีการปรับค่าต่างๆ ได้ละเอียดขึ้นกว่าเดิมและ Power Modesโหมดสำหรับการส่งกำลัง พร้อม Ducati Multimedia System (DMS) ระบบเชื่อมต่อ สมาร์ทโฟน กับหูฟังบลูทูธ ระบบเฟรมเป็นแบบ “Front Frame” มีคุณสมบัติที่ยืดหยุ่น น้ำหนักเบา แต่แข็งแรงผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมเกรดพิเศษ และยังคงใช้เครื่องยนต์เป็นจุดยึดตัวเฟรมรวมถึงชุดแผงคอ, ซับเฟรมท้ายและสวิงอาร์มแบบอลูมิเนียมน้ำหนักเบาพื้นฐานของเครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ โดยเป็นเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ 4 สูบ แบบ V4 ทำมุม 90 องศา ปริมาตรความจุ 1,103 ซีซี มาพร้อมกับระบบ Counter-Rotating Crankshaft ซึ่งโดยปกตินั้น ระบบนี้จะประจำการอยู่ในรถที่ใช้แข่งขันใน MotoGP เท่านั้น ประกอบกับ Desmodromic Valves แบบ 4 วาล์ว/สูบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกระบอกสูบ x ช่วงชัก เท่ากับ 81 x 53.5 มม มีอัตราการอัดอยู่ที่ 14.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคู่ ซึ่งทำงานร่วมคันเร่งไฟฟ้า Ride-by-Wire ให้กำลังสูงสุดถึง 215.5 Hp (158.5 Kw) ที่ 13,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 123.6 Nm (91.2 Ib - ft) ที่ 9,500 รอบ/นาที ระบบเกียร์แบบธรรมดา 6 สปีด พร้อมด้วยระบบ DQS (Ducati Quick Shifter) สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง ได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ต้องบีบคลัทช์แต่อย่างใดซึ่งติดตั้งมาจากโรงงาน ระบบคลัทช์แบบเปียกสั่งงานด้วยไฮดรอลิค สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยโซ่ – สเตอร์พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 เป็นที่เรียบร้อย
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าซึ่งจะเป็นโช้คอัพแบบ Up Side Down ของ ÖHLINS NIX - 30 Smart EC 2.0 แบบปรับไฟฟ้า ขนาดแกน 43 มม มีระยะการทำงาน 120 มม ขณะที่โช้คอัพหลังเป็นแบบเดี่ยว ของ ÖHLINS TTX36 Smart EC 2.0 แบบปรับไฟฟ้าเช่นกัน ซึ่งสามารถปรับตั้งค่าการทำงานได้หลายแบบ พร้อมสปริงไทเทเนียม มีระยะการทำงาน 130 มม สวิงอาร์มหลังอลูมิเนียมแบบ Single Side Swing Arm ที่มีน้ำหนักเบาและง่ายต่อการเซอร์วิส ระบบเบรกจานดิสก์หน้าแบบคู่ขนาด 330 มม คาลิปเปอร์ BREMBO Stylema R ขนาด 4 สูบ พร้อม ABS EVO ด้านหลังจานดิสก์เดี่ยวขนาด 245 มม คาลิเปอร์ BREMBO 2 สูบพร้อม ABS EVO เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน วงล้อหน้า/หลังเป็นล้อ Carbon fiber ลาย 5 ก้านคู่ จากค่าย BST ขนาดยาง 120 / 70 -17 และ 200 / 60 - 17 โอบรัดด้วยยาง Pirelli Diablo Supercorsa SP ทั้งหน้าและหลัง มีระยะห่างของฐานล้ออยู่ที่ 1,469 มม ความสูงเบาะ 835 มม ถังน้ำมันจุถึง 16 ลิตร น้ำหนักรถเปล่าอยู่ที่ 173 กิโกกรัม ด้วยการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของทางค่ายดูคาติ มันส่งผลให้แบรนด์สีแดงจากประเทศอิตาลี ตอกย้ำความเป็นเจ้าของบัลลังก์แห่งรถสปอร์ตไบค์อย่างแท้จริง