Nmax155 Connected Yamaha Nmax155 Connected @อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ระยอง ทริปส่งท้ายหน้าฝน ฟังเสียงคลื่น นอนดูทะเล
ใกล้จะหมดฤดูฝนกันเต็มทีแล้ว นักท่องเที่ยวที่อยากเปิดประสบการณ์ที่แตกต่างออกไปจากความธรรมดา ก็ย่อมที่อยากจะทพอะไรที่แตกต่างออกไปอย่างเช่นการไปหาที่กางเต็นท์หน้าฝนสักที่ ทีมงานไซเคิลโรดเลือกอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าเป็นที่กางเต็นท์ส่งท้ายหน้าฝน ซึ่งมีพิกัดที่ตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง โดยมีระยะทางจากจุดสตาร์ทจะอยู่ที่ประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงตรึ่ง ซึ่งก็ถือว่ามีรัศมีที่ไม่ไกลไปจากกรุงเทพมากนัก ขี่รถก็กำลังสนุก โดยรถที่ใช้เดินทางในทริปนี้เป็นออโตเมติก YamahaNmax155 ที่มีข้อดีคือเน้นขี่ง่าย นั่งสบาย กำลังเครื่องยนต์พอเหมาะแถมมีวาล์ว VVA ด้วยนะ กุญแจรีโมท โช้คหลังปรับค่าความแข็งได้ ที่สำคัญเป็นรถสีแดงซึ่งเป็นสีที่ชอบอยู่แล้วเป็นการส่วนตัว
ครั้งนี้เต็นท์ที่ใช้กางนั้นเลือกที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถจัดเก็บสิ่งของทุกอย่างเข้ามาอยู่ในเต็นท์ได้ทั้งหมดเนื่องจากที่ลานกางเต็นท์เขาแหลมหญ้านั้นจะมีเจ้าลิงจ๋ออาศัยอยู่ด้วยซึ่งก็หมายถึงว่า สิ่งของต่างๆ นั้นก็ควรที่จะจัดเก็บไว้อย่างมิดชิดนั่นเองไม่อย่างนั้นเดี๋ยวไปเล่นน้ำจะไม่สนุกเอาได้
เริ่มออกเดินทางจากจุดสตาร์ทจากโซนลาดกระบังด้วยเวลาช่วงประมาณเที่ยงกว่า โดยว่าไปถึงปลายทางสักประมาณ 3-4 โมงเย็น โดยใช้เส้นทางลาดกระบัง-หลวงแพ่ง-แยกฉะเชิงเทรา-บางนาตราด กม.47 มุ่งหน้าอมตะนครและเลี้ยวซ้ายไปยังระยอง ซึ่งทีมงานไซเคิลโรดเดินทางทริปนี้ในช่วงวันธรรมดา จึงอาจจะมีรถบรรทุกหนาแน่นในบางเส้นทาง แต่เพื่อจุดหมายที่ต้องการเสพธรรมชาติแบบ 100% ซึ่งคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวบางตาในการกางเต็นท์ครั้งนี้ เมื่อเดินทางเข้าสู่เขตจังหวัดระยอง กูเกิ้ลแมพแนะนำเส้นทางจนไปสู่การขี่รถเลียบชายทะเลหาดสวนสน ซึ่งต้องบอกว่าเป็นวันธรรมดาที่เงียบสงบของแท้ มีนักท่องเที่ยว นักวิ่ง ให้เห็นไม่มากนัก จนเดินทางไปจนสุดหาดสวนสนก็ถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้ากันแล้ว
เมื่อเข้าไปถึงในด่านแรกนั้นจะชำระค่าเข้าอุทยานผู้ใหญ่ 40 บาท ค่ายานพาหนะ 20 บาท เป็นอันเรียบร้อยในจุดแรก โดยพี่เจ้าหน้าที่ถามถึงการมาเที่ยวในครั้งนี้ว่ามาเที่ยวปกติหรือกางเต็นท์ ซึ่งถ้าแจ้งว่ามากางเต็นท์ก็จะได้รับคำแนะนำให้ไปต่อในจุดที่สองที่เรียกว่าจุดบริการนักท่องเที่ยว โดยเมื่อเข้าไปแล้วพี่เจ้าหนี่จะแนะนำพื้นที่ลานกางเต็นท์ที่จะมีทั้งแบบบนแคร่ไม้ และแบบกางบนพื้นหญ้าแน่นอนว่าทีมงานไซเคิลโรดเลือกกางเต็นท์บนแคร่ไม้ โดยขอให้พี่เจ้าหน้าที่ได้แนะนำความทำเลสุดท้ายได้แคร่ตำแหน่ง “ฉลามวาฬ10” ซึ่งแคร่ไม้สำหรับกางเต็นท์นั้นจะมีตั้งแต่ฉลามวาฬ1ถึงฉลามวาฬ12 โดยชำระค่าธรรมเนียมกางเต็นท์ในพื้นที่อุทยานเป็นเงิน 30 บาท โดยจะได้รับป้ายไม้แขวนเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงให้พี่เจ้าหน้าที่ดูแลพื้นที่ด้านในอนุญาติให้นำรถเข้าไปได้ แต่หากเป็นนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้ค้างนอนในพื้นที่จะมีจุดจอดรถก่อนทางเข้าให้ให้เดินเท้าเข้าไปเพื่อเยี่ยมชมศึกษาธรรมชาติ
ขับขี่รถต่อเข้าไปยังพื้นที่ด้านในโดยจะมีไม้กั้น เมื่อเอาป้ายไม้ฉลามวาฬ10 แสดงให้ดูจึงได้รับอนุญาตให้ขี่รถเข้าไปยังพื้นที่ด้านในต้องบอกว่าเมื่อไปถึงจุดจอดรถแล้วจะมีคำแนะนำให้ยังไม่ต้องกางเต็นท์ต้องต้องการเดินเที่ยวศึกษาธรรมชาติในพื้นที่ก่อน โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรถที่เข้ามาจอดเพื่อป้องกันลิงจ๋อแอบมาหยิบเสบียงอาหารไปกิน สำหรับในพื้นที่ศึกษาธรรมชาตินั้น มีวิวที่สวยงามมากเนียงจากเป็นริมชายทะเลที่มองตรงไปยังข้างหน้าแล้วจะเห็นหมู่เกาะเสม็ด หรือเกาะแก้วพิสดารที่อยู่ในวรรณคดีสุนทรภู่ โดยจะมีรูปปั้นนางยักษ์ผีเสื้อสมุทรตั้งเด่นคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย นอกจากนี้ที่บริเวณท่าเทียบเรือนั้นยังมีจุดเช็คอินท์ถ่ายภาพที่เรียกได้ว่า ทั้งสวยและโดดเด่นมากโดยมีแบล็คกราวด้านหลังเป็นหมู่เกาะเล็กใหญ่พร้อมด้วยน้ำทะเลสีเขียวมรกต หากแรงยังเหลือจะมีสะพานไม้ที่เลียบเลาะชายหาดไปยังปลายสุดแหลมเพื่อนั่งดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้อีกด้วระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งที่บริเวณปลายแหลมนั้นจะได้เห็นวิวทะเลแบบพาโนรามาพร้อมด้วยพื้นที่เป็นหินยุดโบราณที่มีลวดลายแปลกตามองดูแล้วเป็นงานศิลปะที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อย่างสวยงาม
จนพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ก่อนที่แสงสุดท้ายจะลับขอบฟ้าทีมงานไซเคิลโรดก็ต้องงรีบกลับมายังพื้นที่เพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้กางเต็นท์หากรอให้มืดก่อนก็จะทำให้กางยากก็ได้ จึงนำรถมอเตอร์ไซค์ที่มัดท้ายสัมภาระแน่นเอียดเคลื่อนตัวไปยังลานกางเต็นท์ด้วยความที่เป็นระเบียบจึงไม่สามารถนำรถเข้าไปบนลานกางเต็นท์ได้ โดยตรงที่ไม้กั้นห้ามรถเข้านั้นจะมีรถเข็นเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวได้โหลดกระเป๋าและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ขนมาได้ขนไปยังพื้นที่ของตัวเองได้อย่างสะดวก โดยต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่คนสวยตรงจุดบริการนักท่องเที่ยวที่ให้คำแนะนำ “ฉลามวาฬ10” เพราะทำเลตรงนี้สะดวกและสวยมากใกล้ห้องน้ำ แล้วยังใกล้กับจุดชายหาดสำหรับเล่นน้ำอีกด้วยทำให้เวลาเล่นน้ำยังสามารถหันมามองเต็นท์นอนได้ตลอดเวลา ในช่วงเช้าวันต่อมายังมีร่มเงาจากต้นไม้คอยบังดวงตะวันให้อีกด้วยแทบไม่ร้อนแดดเลย
หลังจากที่ทุลักทุเลกับการกางเต็นท์หลังใหญ่เพียงลำพังจนเสร็จ เมื่อสังเกตไปรอบๆ เจ้าลิงจ๋อก็ออกเมียงมองแต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้เต็นท์มากเพราะเห็นคนอยู่ จึงทำการเปลี่ยนชุดสำหรับเล่นน้ำทะเลและอุปกรณ์ดำน้ำตื้นที่ดูความสวยงามใต้ท้องทะเล โดยใช้เวลาเล่นน้ำไปอย่างเพลิดเพลิน นำที่มีความลึกแค่สะดือ แต่เมื่อดำลงไปใต้นำแล้วตามช่องของโขดหินนั้นเต็มไปด้วยฝูงปลาที่ว่ายไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับการเดินทางที่ระยะกว่า 170 กิโลเมตรเพื่อมาที่นี่
หลังจากนั้นจึงขึ้นมานั่งพักผ่อนอาบน้ำจืด และกินมื้อค่ำแบบง่ายๆ และเตรียมตัวเข้าเต็นท์เพื่อนอนฟังเสียงคลื่นเป็นการชาร์ทแบตร่างกาย เพราะทะเลส่งเสียงให้ฟังว่า “สู้ๆ” ทั้งคืน แน่นอนว่าค่ำคืนของการนอนเต็นท์ที่อุทยานแห่งชาติในช่วงวันธรรมดานั้นจะมีนักท่องเที่ยวน้อย แต่ครั้งนี้ผิดคาดไปหน่อยเพราะทีมงานไซเคิลโรดนั้นนอนคนเดียวทั้งลานหรือที่เรียกหยอกๆ กันว่า “เหมาลานนั้นเอง” บอกเลยว่าการนอนคนเดียวก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะแสงสว่างจากหลอดไฟในลานเขาแหลมหญ้านั้นเพียงพอทุกจุดในลานกางเต็นท์ ทำให้ การเดินออกมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนนั้นสบายใจได้
|